จากปัจจัยทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาในช่วงปีที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้ของใครหลาย ๆ คนลดลง รวมถึงการมีหนี้ที่สูงมากขึ้น และมีแนวโน้มสูงที่อาจก่อตัวไปสู่การกลายสภาพเป็นหนี้เสีย จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนของธนาคารที่มีการออกนโยบายใหม่ ๆ ออกมาเพื่อป้องกันการสร้างหนี้ที่อาจจะกลายเป็นหนี้เสียในอนาคต ทำให้ปีที่ผ่านมานั้นผลการอนุมัติวงเงินกู้สำหรับภาคอสังหาฯ มีการอนุมัติที่ยากมากขึ้น

เพื่อช่วยให้ผู้ที่อยากมีอสังหาฯ ไว้ในครอบครองไม่ว่าจะเพื่ออยู่อาศัยหรือลงทุนในช่วงเวลานี้ ไม่ต้องเสียเวลาในการยื่นกู้แล้วโดนปฏิเสธ วันนี้เราจะมาบอกเล่าให้ฟังกันว่า สิ่งไหนที่เป็นสาเหตุให้ใครหลาย ๆ คนกู้ไม่ผ่าน จะได้ป้องกันและไม่ให้เกิดขึ้นกับเราทั้งหลายกันนะครับ ตามมาดูกันเลยจ้าว่ามีสาเหตุจากอะไรกันบ้าง

1 ขาดการประเมินเบื้องต้นถึงความสามารถในการกู้ของตัวเอง
  ในการประเมินวงเงินกู้ของธนาคารนั้นมีปัจจัยหลัก ๆ ที่ใช้ในการประเมินประกอบไปด้วย รายได้, ภาระหนี้สิน และวินัยในการจ่ายหนี้ของผู้ยื่นกู้ หากปัจจัยทั้ง 3 ที่ว่ามานี้ไม่ผ่านเกณฑ์ของธนาคารแล้วก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้สามารถกู้ผ่านได้นั่นเอง โดยในเบื้องต้น ธนาคารจะดูก่อนว่ารายได้ของเรานั้นผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารหรือไม่ซึ่งโดยทั่วไปรายได้ขั้นต่ำที่ธนาคารจะปล่อยเงินกู้อสังหาฯให้นั้นจะอยู่ที่ 15,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป แต่ก็จะมีบางธนาคารที่เกณฑ์ขั้นต่ำอาจจะสูงกว่านี้ หรือบางธนาคารที่มีความยืดหยุ่นให้ในเรื่องนี้ได้บ้าง และในส่วนต่อไปที่ธนาคารจะพิจารณาคือในส่วนของภาระหนี้สินที่เรามีอยู่ ถ้าหากว่ามีสูงเกินไปธนาคารก็มีสิทธิที่จะไม่ปล่อยกู้ให้ได้เช่นกัน ซึ่งปกติแล้วอัตราส่วนภาระต่อเดือนที่คิดรวมกับภาระที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นเทียบกับรายได้แล้วสูงเกินกว่าที่ธนาคารกำหนด ซี่งปกติแล้วจะเฉลี่ยอยู่ในช่วง 60 – 80% ของรายได้ ก็มีโอกาสสูงที่ธนาคารจะไม่ปล่อยกู้ให้เราได้เช่นกัน และแม้หากว่าในสองปัจจัยเบื้องต้นเราผ่านทั้งหมด แต่ถ้าวินัยในการจ่ายชำระหนี้ของเราไม่ดี ขาดการผ่อนส่งบ้าง หรือจ่ายหนี้ล่าช้า หรือขาดการจ่ายหนี้ไปเลย ก็ส่งผลให้ธนาคารไม่ปล่อยกู้ให้เราได้เช่นกัน

2 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาระหนี้สิน
            หลาย ๆ เคสที่พบเจอ ผู้กู้ได้มีการใช้เครดิตตัวเองในการขอสินเชื่อไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน รถยนต์ หรือสินเชื่อในรูปแบบอื่น ๆ แต่ตัวเองนั้นไม่ได้เป็นผู้ผ่อนชำระด้วยตัวเอง เช่น ใช้ชื่อตัวเองซื้อรถให้คนในครอบครัว โดยคนที่เป็นคนจ่ายเงินผ่อนหนี้นั้นเป็นคนอื่นไม่ใช่ตัวเอง ในส่วนนี้บางคนจะมองว่า เราไม่ได้เป็นคนผ่อน ดังนั้นภาระก็ไม่ได้เป็นของเราสิ แต่จริง ๆ แล้วนั้นในฐานะที่เราเป็นคนที่ยื่นขอกู้วงเงินนั้นมา ธนาคารก็จะมองว่าภาระนั้นก็เป็นของเราอยู่ดี หรือบางครั้งต่อให้ภาระหนี้ของเราเมื่อรวมกับภาระการผ่อนที่ว่านั้นไม่ได้สูงเกินไปสำหรับการขอกู้เพิ่มก็จริง รวมถึงเราเองก็เป็นคนที่มีวินัยทางการเงินที่ดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือคนที่ทำหน้าที่ผ่อนหนี้ก้อนนั้นไม่มีวินัยในการจ่ายหนี้ ก็จะส่งผลให้เครดิตของเราลดลงได้เช่นเดียวกัน ระวังเรื่องนี้กันดี ๆ นะครับ

3. เปิดบัตรเครดิต/บัตรกดเงินสดแล้วไม่ได้ใช้
    เปิดบัตรเครดิตแล้วไม่ได้ใช้แล้วจะส่งผลอย่างไรให้กับเราได้หรือ อย่าลืมนะครับว่าบัตรเครดิตนั้นปกติจะมีค่าธรรมเนียมรายปีที่เรียกเก็บไม่ว่าเราจะใช้หรือไม่ก็ตาม และหากเราลืมไปว่าเคยเปิดใช้งานบัตร และไม่ได้ทำการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมของบัตร ธนาคารเจ้าของบัตรจะมองว่าเรากำลังค้างชำระค่าธรรมเนียมกับเค้าอยู่ ถ้าเราไม่รู้ หรือลืม หรือจำไม่ได้ ก็จะส่งผลให้ระบบมองว่าเราขาดการชำระหนี้นี้ และทำให้เครดิตเราเสียไปด้วยอีกต่างหาก

4. ปกปิดภาระหนี้สินกับฝ่ายขาย
            เซลล์โครงการหลาย ๆ ที่ รวมไปถึงนายหน้าที่ขายห้องให้กับโครงการจะมีบริการในการช่วยคำนวณวงเงินกู้ให้กับผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาฯ เพื่อที่จะได้สามารถแนะนำโครงการหรือตำแหน่งห้องที่ลูกค้าจะสามารถกู้ซื้อได้โดยไม่ต้องมานั่งลุ้นถึงผลการอนุมัติวงเงินกู้ แต่สิ่งที่เซลล์หรือพวกเรานายหน้าพบกันบ่อย ๆ คือการปกปิดภาระหนี้สิน หรือบอกไม่หมด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ จึงส่งผลให้การประเมินวงเงินกู้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้บ่อยครั้ง เพราะเมื่อยื่นกู้ไปแล้วธนาคารต่าง ๆ จะสามารถเช็คภาระของผู้กู้ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหนี้กับที่ไหนอยู่บ้างก็ตามแต่ ดังนั้นหากว่าเรามีหนี้ส่วนไหนอยู่บ้างต้องแจ้งให้กับผู้ประเมินได้ทราบนะครับ จะได้ลดความผิดพลาดตรงส่วนนี้ลงไปได้

5. มีการผิดนัดชำระหนี้กับสถาบันการเงิน
    อย่างที่ได้บอกไปในข้อที่ 1 ว่าสิ่งใดบ้างที่ธนาคารใช้เป็นปัจจัยในการพิจารณาวงเงินกู้ ซึ่ง 1 ในนั้นคือเครดิตของเราที่เกิดจากการชำระหนี้อย่างมีวินัย ดังนั้นหากเราเสียเครดิตในส่วนนี้ไปก็จะส่งผลให้ธนาคารไม่อนุมัติวงเงินกู้ให้เราได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเพราะการลืมชำระ การล่าช้าโดยเฉพาะล่าช้าเกินกว่า 90 วันขึ้นไป หรือว่าจะมาจากการที่เราไม่รู้ว่าเรามีหนี้นั้นอยู่ก็ตามที ดังนั้นก่อนที่เราจะยื่นกู้อสังหาฯ เพื่อให้ความเสี่ยงตรงส่วนนี้ลดลงไป เราสามารถไปขอข้อมูลเครดิตบูโรของเรามาดู เพื่อมาเช็คว่าสถานะเครดิตของเรายังดีอยู่มั๊ย ซึ่งเราสามารถไปขอข้อมูลเครดิตบูโรได้จากที่ต่าง ๆ ตามที่ลิงค์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
https://www.ncb.co.th/check-your-credit-bureau/where-to-check-credit-bureau

6. ขาดการเตรียมตัวก่อนยื่นกู้
    สำหรับพนักงานประจำอาจจะไม่ค่อยพบปัญหาในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เพราะมีรายรับที่ชัดเจนอยู่แล้วในแต่ละเดือน แต่สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจส่วนตัว หรือเป็นฟรีแลนซ์ มักจะพบกับปัญหานี้กันเป็นส่วนใหญ่คือการที่ไม่ได้มีการเตรียมหลักฐานยืนยันรายได้ของตัวเองไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือธนาคารไม่สามารถตรวจสอบถึงรายได้ของผู้ยื่นกู้ได้ว่ามีเท่าไหร่ มาจากช่องทางไหนบ้าง เมื่อธนาคารไม่มั่นใจในรายได้ จึงส่งผลให้ไม่สามารถปล่อยวงเงินกู้ออกมาได้นั้นเอง ดังนั้นสำหรับท่านเจ้าของกิจการ หรืออาชีพอิสระทั้งหลาย ก่อนกู้ซื้อบ้านควรมีการเตรียมเอกสารชี้แจงรายได้ให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของใบเสร็จรับเงินก็ดี หรือข้อมูลการเสียภาษีรายได้ประจำปีก็ดี สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนขาดไม่ได้เลยนะครับ หากใครไม่แน่ใจว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร ก็สอบถามพวกเรามาใน Inbox ได้เลยนะครับ ยินดีตอบให้ทุกข้อสงสัยเลยจ้า

            ทั้ง 6 ข้อนี้คือสิ่งที่พวกเราได้รวบรวมมาจากประสบการณ์ที่พวกเราได้พบเจอ และนำมาแบ่งปันเพื่อป้องกันไม่ให้คนอยากมีบ้านต้องพลาดโอกาสในการยื่นขอวงเงินสินเชื่อ ทั้งยังต้องเสียเวลารอคอย และเสียความรู้สึกเมื่อถูกปฏิเสธวงเงินกู้จากธนาคารกันนั่นเอง

            หวังว่าเนื้อหาของพวกจะมีประโยชน์ให้กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย และหากว่าบทความนี้ดีและมีประโยชน์ พวกเราทีมงานก็อยากจะขอให้ช่วยกดไลค์เป็นกำลังใจให้กับพวกเรา รวมถึงกดแชร์เพื่อให้บทความดี ๆ นี้ได้ส่งต่อไปยังเพื่อน ๆ ที่กำลังตัดสินใจจะยื่นกู้อสังหาฯ เพื่อให้เป็นความรู้ดี ๆ ที่ได้ส่งออกไปกันนะครับ รวมไปถึงอยากให้ช่วยกันกดติดตาม เพื่อที่จะได้ไม่พลาดเนื้อหาดี ๆ ที่จะมีมาให้เรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องกันนะครับขอบคุณทุก ๆ กำลังใจที่ส่งมาให้กันนะครับผม